Monday, September 15, 2014

Be Stingy

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก 



มัจฉริยะ

อนิยตโยคีเจตสิก
อนิยตโยคีเจตสิก คือเจตสิกที่ประกอบไม่แน่นอน หมายความว่าเจตสิก นั้นบางทีก็ประกอบ บางทีก็ไม่ประกอบ
อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ วิรตี(๓ ดวง) กรุณา มุทิตา มานะ ถีนะ มิทธะ ย่อมประกอบกับจิตเป็นครั้งคราว ไม่พร้อมกัน(ทั้ง ๑๑ ดวงนี้ เป็น อนิยตโยคีเจตสิก)
๑. อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ๓ ดวงนี้ ถ้าจะเกิดก็ต้องเกิดร่วมกันพร้อมกับโทสจิต และจะต้องเกิดทีละดวง คือทีละอย่างเท่านั้น เพราะอารมณ์ต่างกัน การประกอบเป็นครั้งคราวและทีละดวง เช่นนี้เรียกว่า นานากทาจิ
เวลาที่ริษยาสมบัติของผู้อื่น อิสสาเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่มัจฉริยะและกุกกุจจะไม่เกิด เพราะอารมณ์คนละอย่างต่างกัน
เวลาที่เหนียวแน่นในสมบัติของตน มัจฉริยเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่อิสสาและกุกกุจจะไม่เกิด
เวลาที่เศร้าใจ รำคาญใจ ในบาปที่ตนได้กระทำไปแล้ว หรือในการบุญที่ตนไม่ได้ทำ กุกกุจจะเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่อิสสาและมัจฉริยะไม่เกิด

แหล่งข้อมูลทางธรรม :
http://abhidhamonline.org/aphi/p2/062.htm

แหล่งข้อมูลรูปภาพ
cartoonnetwork.com.tr


อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น กลุ่มอกุศลจิต มี 14 ดวง แบ่งเป็น 5 กลุ่ม(แถว) ความหมายของแต่ละดวง จะกล่าวในบทต่อไป ในที่นี้จะแสดงเพียงชื่อของกลุ่ม และเจตสิกในกลุ่มก่อน กล่าวคือ
1. กลุ่มโมหะเจตสิก 4 ดวง(โมจตุกะ 4) ได้แก่  โมหะ   อหิริกะ   อโนตตัปปะ  อุทธัจจะ
2. กลุ่มโลภะเจตสิก 3 ดวง(โลติกะ3)  ได้แก่     โลภะ    ทิฏฐิ      มานะ
3. กลุ่มโทสะเจตสิก 4 ดวง(โทจตุกะ 4) ได้แก่  โทสะ   อิสสา     มัจฉริยะ        กุกกุจจะ
4. กลุ่มที่ทำให้หดหู่ ท้อถอย(ถีทุกะ2) ได้แก่      ถีนะเจตสิก        มิทะเจตสิก
5. กลุ่มความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา1) ได้แก่          วิจิกิจฉาเจตสิก (มีเพียง 1 ดวง)
 การที่จิตและเจตสิกจะประกอบกันได้จำต้องมีคุณสมบัติที่คล้ายกัน จึงอยู่ในที่เดียวกันได้ เช่น โลภะเจตสิก จะต้องประกอบได้กับโลภะมูลจิตเท่านั้น เมื่อประกอบกันแล้วโลภะจิตดวงนี้จึงจะสามารถแสดงอำนาจความอยากได้ออกมา โทสะเจตสิกก็ต้องประกอบกับโทสะมูลจิตเท่านั้น โทสะเจตสิกจะ   ประกอบกับโลภะจิตไม่ได้ เพราะเป็นสภาพธรรมที่ตรงข้ามกัน คือ โลภะเจตสิกมีสภาพติดใจในอารมณ์ ส่วนโทสะเจตสิกมีสภาพประทุษร้ายทำลายอารมณ์ จึงเข้ากันไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เจตสิกฝ่ายอกุศล ก็จะเข้ากับโสภณเจตสิกก็ไม่ได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ธรรมชาติของเจตสิกนั้นเกิดพร้อมกับจิต หรือประกอบกับจิตเป็นนิตย์ เมื่อประกอบแล้ว ทำให้จิตเป็นบุญ(กุศล) หรือเป็นบาป(อกุศล) ตามการเข้าประกอบ  เจตสิกแบ่งเป็น  3 กลุ่มคือ เจตสิกฝ่ายกลาง เข้าได้กับจิตทุกกลุ่ม เรียกว่า  อัญญสมานาเจตสิก มี 13 ดวง  กลุ่มที่ 2 คือ เจตสิกฝ่ายอกุศลได้แก่ อกุศลเจตสิกมี 14 ดวง เข้าได้กับ กลุ่มอกุศลจิตเท่านั้น กลุ่มสุดท้ายคือเจตสิกฝ่ายดีงาม เข้าได้กับกลุ่มโสภณจิตเท่านั้น โสภณเจตสิกมี 25 ดวง

แหล่งข้อมูลทางธรรม :
http://www.abhidhamonline.org/thesis/cetasika/cetasika.htm 

 [๙๗๘] มัจฉริยะ ๕ เป็นไฉน
             มัจฉริยะ ๕ คือ
                          ๑. อาวาสมัจฉริยะ ความตระหนี่ที่อยู่
                          ๒. กุลมัจฉริยะ ความตระหนี่ตระกูล
                          ๓. ลาภมัจฉริยะ ความตระหนี่ลาภ
                          ๔. วัณณมัจฉริยะ ความตระหนี่วรรณะ
                          ๕. ธัมมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม
             เหล่านี้เรียกว่า มัจฉริยะ ๕
แหล่งข้อมูลทางธรรม :
http://84000.org/tipitaka/read/?35/978/509
  เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕  บรรทัดที่ ๑๒๙๒๘ - ๑๒๙๓๕.  หน้าที่  ๕๕๕.

 มัจฉริยะ หรือ ความตระหนี่ หมายถึง  ความเหนียวแน่น ความหวงแหน ในสมบัติของ
ตน หรือ ปกปิดสมบัติของตนไม่ให้ผู้อื่นรู้ หรือ อยากให้สิ่งที่มีอยู่กับตน  หรือ สิ่งที่ดีๆนั้น
มีอยู่กับเราผู้เดียว ไม่อยากให้ผู้อื่นมี เป็นต้น นี่คือ ลักษณะของความตระหนี่ครับ
มัจฉริยะ  คือ ความตระหนี่ ๕ อย่าง ได้แก่
     ๑. อาวาสมัจฉริยะ            ตระหนี่      ที่อยู่อาศัย
     ๒. กุลมัจฉริยะ                 ตระหนี่      ตระกูล
     ๓. ลาภมัจฉริยะ               ตระหนี่      ลาภ
     ๔. วรรณมัจฉริยะ             ตระหนี่      วรรณะ คือคำสรรเสริญ
     ๕. ธรรมมัจฉริยะ              ตระหนี่      ธรรม รวมถึง ความรู้

     ส่วนธรรมที่ตรงข้ามกับ มัจฉริยะ ความตระหนี่ คือ ปริจาคะ หรือ จาคะ ที่เป็นความ
เสียสละ   องค์ธรรม คือ อโลภะเจตสิก ความไม่ติดข้อง     เพราะ อาศัย โลภะ ความติด
ข้อง พอใจ ยินดีในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   จึงไม่สามารถบริจาค สละได้   เกิดความตระหนี่ขึ้นมา
ในจิตใจ  แต่เพราะอาศัย อโลภะเจตสิกที่เกิดขึ้น ที่เป็น จาคะ การสละ ย่อมไม่หวงแหน
ในที่อยู่      ไม่หวงแหน ตระหนี่ใน ตระกูล มีความหวงเพื่อน เป็นต้น  
ไม่ตระหนี่ ลาภปัจจัยที่ตนมี เพราะ สามารถ สละ บริจาคได้    
ไม่ตระหนี่ในคำสรรเสริญ เพราะ เกิดจาคะ ความสละกิเลสที่มีในจิตใจ  
ไม่ตระหนี่ในความรู้ที่ตนมี เพราะ มีใจที่คิดจะสละให้ความรู็้เพื่อประโยชน์กับผู้อื่นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น        นี่คือ ธรรมที่ตรงกันข้ามกับความตระหนี่ คือ จาคะ อันเป็นสภาพธรรมที่สละ คือ อโลภะเจตสิกทีเ่กิดขึ้น  แต่เมื่อว่าโดยความละเอียดแล้ว      จาคะ ความสละ ไม่ใช่เพียงสละ วัตถุภายนอก
เท่านั้น    แต่มีสิ่งที่ควรสละ เพราะ เป็นสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสที่มีในจิตใจ       เพราะฉะนั้นขณะใดที่ปัญญาเกิดรู้ความจริง    เป็นจาคะยิ่งกว่าจาคะ คือ      เป็นการสละที่ประเสริฐ
เพราะ สละความไม่รู้    และ สละกิเลส       จนสามารถสละ มัจฉริยะในจิตใจได้ในที่สุดเมื่อถึงความเป็นพระโสดาบัน
การศึกษาพระธรรม   ฟังพระธรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดจาคะ      ทั้งสละกิเลสที่มีในจิตใจ    และ เป็นปัจจัยให้เจริญขึ้นของกุศลทุกๆประการ   มีการให้ทาน ที่เป็นการสละวัตถุ และ ความตระหนี่ที่มีในจิตใจได้จนหมดสิ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีจริงนั้น    ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกประการ  รวมทั้งมัจฉริยะ  ความตระหนี่ด้วย   ความตระหนี่ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง    เป็นอกุศลธรรมที่หวงแหนทรัพย์สมบัติสิ่งของของตน   ไม่อยากให้ผู้อื่นมีส่วนในในสมบัติของตน    ขณะที่เกิดขึ้นนั้น มีความไม่สบายใจอย่างแน่นอน     ซึ่งจะแตกต่างไปจากขณะที่มีการให้  มีการสละ  เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นอย่างสิ้นเชิง
     ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับความตระหนี่ถึงความเป็นพระโสดาบันได้   ความตระหนี่ก็ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย       แต่สำหรับผู้ที่เห็นโทษ ก็ย่อมจะขัดเกลาละคลายความตระหนี่ของตน ๆ  ด้วยการให้ ด้วยการสละ   เพราะถ้าไม่ขัดเกลาไปตามลำดับ ทีละเล็กทีละน้อย   แล้วจะสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นได้อย่างไร
     ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม   ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง กุศลก็เป็นธรรม     อกุศลก็เป็นธรรม        สิ่งที่ไม่ใช่ทั้งกุศล และ ไม่ใช่ทั้งอกุศล ก็เป็นธรรม   ไม่ใช่เราเลย   เป็นแต่เพียงธรรมที่เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่      ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย        เมื่อได้ศึกษาถึงส่วนที่เป็นอกุศลธรรม ก็จะเป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับผู้ที่ยังมีอกุศลอยู่      ที่จะได้เห็นโทษ และขัดเกลาด้วยกุศลธรรม    เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะขัดเกลา กำจัดอกุศลได้ ครับธรรมที่ตรงข้ามกับมัจฉริยะ    คือ   ความไม่ตระหนี่ เช่น    มีลาภก็แบ่งปัน   ไม่หวงที่อยู่ ไม่ตระหนี่คำสรรเสริญ    และให้ธรรม ให้ความรู้

ที่อาจารย์กล่าวว่า  "ธรรมที่ตรงข้าม กับ มัจฉริยะ ความตระหนี่ คือ ปริจาคะ หรือ จาคะ ที่เป็นความเสียสละ   องค์ธรรม คือ อโลภะเจตสิก ความไม่ติดข้อง   เพราะ อาศัย โลภะ ความติดข้อง พอใจ ยินดีในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  จึงไม่สามารถบริจาค สละได้ เกิดความตระหนี่ขึ้นมาในจิตใจ"
แต่เมื่อพิจารณาในฐานะที่เป็นเจตสิกแล้ว     มัจฉริยเจตสิก กลับเกิดร่วมกับโทสมูลจิต ซึ่งมีโทสเจตสิตเป็นองค์ธรรมหลักประกอบ     ไม่ได้เกิดร่วมกันโลภเจตสิก ซึ่งเป็นองค์ธรรมที่สอดคล้องกัน และตรงกันข้ามกับอโลภเจตสิตอีกด้วยลักษณะของมัจฉริยเจตสิกในประเด็นนี้   มีสิ่งที่ควรจะพิจารณาเพื่อความเข้าใจอย่างไรครับ

     ธรรม เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น  ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้    ความตระหนี่เป็นความหนี่     ความติดข้องเป็นความติดข้อง     ความโกรธเป็นความโกรธ  เป็นต้น
     โลภะ เป็นความติดข้องยินดีพอใจ      เกิดร่วมกับอกุศลจิตประเภทที่เป็นโลภมูลจิตเท่านั้น จะไม่เกิดร่วมกับจิตประเภทอื่น      ส่วนมัจฉริยะ ซึ่งเป็นความตระหนี่นั้น  จะเกิดร่วมกับจิตประเภทที่มีโทสะเป็นมูลเท่านั้น (แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกขณะที่โทสมูลจิตเกิดขึ้นจะมีมัจฉริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง             เพราะโทสมูลจิต เกิดขึ้นเป็นไปได้แม้ไม่มีมัจฉริยะ)  ขณะที่มัจฉริยะเกิดขึ้น ขณะนั้นความรู้สึกไม่สบายใจ     ซึ่งแตกต่างจากขณะที่ติดข้อง ที่มีความรู้สึกดีใจหรือเฉย ๆ เกิดร่วมด้วย           ที่มีความตระหนี่หวงแหนเกิดขึ้น ก็เพราะยังมีความติดข้องต้องการ  จึงไม่ยอมสละ   ธรรม เกี่ยวเนื่องกัน      แต่โลภะกับมัจฉริยะจะไม่เกิดร่วมกัน    ขณะที่ไม่อยากให้คนอื่นมีส่วนในสมบัติที่เรามี นั้น ความรู้สึกจะเป็นเฉพาะความรู้สึกไม่สบายใจ เท่านั้น
     เมื่อกล่าวถึงธรรมที่ตรงกันข้ามกับความตระหนี่แล้ว เป็นความเสียสละ  เป็นการสละเป็นการให้  ซึ่งในขณะนั้นกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไป     ทุกขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปนั้นจะไม่ปราศจาก อโลภะ เลย  
     ซึ่งถ้ากล่าวถึง อโภละ แล้ว      กว้างขวางมาก       สามารถกล่าวเป็นขั้น ๆ  ก็ได้ว่าอโลภะ ในขั้นทาน              ที่เป็นความเสียสละวัตถุสิ่งของ เพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น  อโลภะในขั้นศีล    ที่นึกถึงประโยชน์สุขของผู้อื่น จึงมีการวิรัติงดเว้นทุจริตกรรมประการต่าง ๆ ที่เป็นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อน        อโลภะ ที่เป็นไปกับด้วยการอบรมเจริญความสงบของจิต   เห็นโทษของอกุศล    เพราะขณะที่อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปนั้น   ไม่สงบด้วยอกุศล         และ อโลภะ ในขั้นที่เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาที่จะเป็นไปเพื่อความ
เข้าใจถูกเห็นถูกจนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขึ้น

โลภะเจตสิก เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับอโลภะเจตสิก(จาคะ)       แต่ มัจฉริยะเจตสิก เกิดร่วมกับ โทสะเจตสิก และ โทสะมูลจิตเพราะฉะนั้น  ควรจะตรงข้ามกับ อโทสะเจตสิก        ไม่ควรจะเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับอโลภะเจตสิก          คือ ธรรมที่เกิดร่วมกับโทสะ     ไม่ควรจะเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับ
อโลภะเจตสิก
     ซึ่ง ในประเด็นนี้   มัจฉริยะ ตรงกันข้ามกับ จาคะ ที่เป็นอโลภะเจตสิก ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า เหตุให้เกิด มัจฉริยะ คือ โลภะนั่นเองที่ยังติดข้อง  ซึ่งหากไม่มีเหตุ คือ ความติดข้อง   มัจฉริยะก็เกิดไม่ได้    ดังนั้น     ธรรมที่ตรงกันข้ามกับการหวงแหน ตระหนี่   คือ สภาพธรรมที่สละ        อันเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับมัจฉริยะเนื่องด้วย ตรงข้ามกับเหตุให้เกิด มัจฉริยเจตสิกนั่นเอง    คือ ตรงข้ามกับ โลภะเจตสิก
เป็นสำคัญ ครับ
     สิ่งที่ควรพิจารณาในมัจฉริยเจตสิก   ในประเด็นธรรมที่ตรงกันข้าม    จึงมุ่งหมายถึงเหตุให้เกิด มัจฉริยะเจตสิกเป็นสำคัญ   คือ ความติดข้อง การสละได้ ไม่หวงแหนคือ อโลภะ  จึงเป็นธรรมที่ตรงกันข้าม กับ ความตระหนี่ ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมา

แหล่งข้อมูลทางธรรม :
ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/22169

No comments:

Post a Comment